Neuro-cognitive Screening Test for Dementia
About Ms. Chen, Mei-Kui
Clinical Psychologist, Changhua Christian Hospital
Clinical Psychologist of Dementia Center, Christian Changhua Hospital
Script
สวัสดีค่ะ ดิฉันเฉินเหม่ยกุ้ย จิตแพทย์จากโรงพยาบาลจางฮั่วคริสเตียนค่ะ
ดิฉันทำงานในแผนกประสาทมา10กว่าปีแล้ว
เคยมีประสบการณ์ทำงานกับผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมมาก่อน
ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ที่ศูนย์ดูแลรวมผู้ป่วยสมองเสื่อมของทางโรงพยาบาลค่ะ
เวลาส่วนใหญ่ดิฉันจะทำการประเมินภาวะสมองเสื่อม
หากมีผู้ป่วยวัยชราหรือวัยรุ่นที่มีภาวะสมองเสื่อม
ที่แพทย์วินิจฉัยว่าต้องดูอาการเพิ่มเติมอย่างละเอียด
ก็จะโอนผู้ป่วยมาให้ทางศูนย์ประเมินค่ะ
วันนี้ดิฉันจะแนะนำเครื่องมือตรวจสอบโรคสมองเสื่อม
ผ่านมุมมองเส้นประสาทการรับรู้
ก่อนที่จะพูดถึงเครื่องมือ
ดิฉันขอแนะนำบริการการตรวจประเมินทางประสาทจิตวิทยาที่ทางศูนย์ทำเป็นประจำก่อนนะคะ
และสิ่งที่ต้องระวังในการประเมินทางประสาทจิตวิทยาด้วย
หลังจากนั้นดิฉันจะแนะนำเครื่องมือตรวจสอบโรคสมองเสื่อมในชุมชน
ในส่วนของขั้นตอนการประเมิน
ในด้านประสาทจิตวิทยา
ดิฉันขอบอกกับทุกคนก่อนว่า
จุดสำคัญในการประเมิน
มีความเกี่ยวข้องกับความสามารถของสมองพวกเราเป็นอย่างมาก
มีความสามารถรับรู้มากมายที่พวกเราได้ใช้ในชีวิตประจำวัน
หรือการทำงานระหว่างที่เราใช้ชีวิตอยู่
พวกเราไม่จำเป็นต้องมองเห็นหรือสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันเลย
แต่ว่าถ้าเกิดวันนี้พวกเราเป็นโรคนี้มา
แล้วดันเป็นโรคที่ทำลายความสามารถของสมองด้วย
พวกเราก็จะมีอาการที่จะสังเกตได้ในชีวิตประจำวัน
เช่น ไม่ค่อยมีสมาธิหรือความจำไม่ค่อยดี
ความสามารถทางภาษาอาจจะติดๆขัดๆ
อาการเหล่านี้มักจะปรากฎบ่อยในผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับสมอง
พวกเราจะดูจากอาการของโรค
แล้วใช้ความรู้เกี่ยวกับประสาทจิตวิทยา
มาวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อมหรือเส้นประสาทเสื่อมแบบไหน
บางทีอาจจะมีปัญหาที่เส้นประสาทรับรู้ก็ได้
แล้วเจาะดูที่ปัญหานั้นๆ
หลังจากนั้นก็ใช้ความรู้เกี่ยวกับโรคประสาท
มาประเมิน จำแนกและวินิจฉัยโรคจากอาการและปัญหาที่พบ
เพื่อที่จะช่วยงานบริการของพวกเรา
โดยเฉพาะแพทย์หรือหน่วยอื่นๆที่พวกเราจะพูดถึงกันในภายหลัง
ช่วยให้พวกเขาเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของเส้นประสาทหรือสมอง
เพราะฉะนั้นในขั้นตอนการประเมินทางจิตวิทยานั้น
ก็จะทำผ่านการสังเกตของตัวผู้ป่วยเองหรือญาติผู้ป่วย
หรือสิ่งที่เพื่อนผู้ป่วยเห็นก็ได้
ทั้งหมดสามารถอธิบายได้ว่าผู้ป่วยมีอาการอะไร
อย่างเช่น เมื่อกี้พูดถึงความจำไม่ค่อยดีหรือพูดจาติดๆขัดๆ
พวกเราก็จะใช้อาการนั้นมาตั้งสมมติฐานว่า
ผู้ป่วยอาจจะเป็นโรคอะไร แล้วมีอาการแบบนี้ขึ้นมา
เช่น เขาเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือเปล่า หรือเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพหรือเปล่า
หรือผู้ป่วยมีภาวะบาดเจ็บในสมอง
อาจจะเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถชนก็ได้
หรืออาจจะเป็นโรคเกี่ยวกับน้ำในสมองหรือเส้นเลือดในสมองก็ได้
หลังจากที่ดูอาการของโรค การสังเกตของครอบครัว และสภาพโรคโดยรวมแล้ว
พวกเราจะเลือกเครื่องมือมาประเมินสมรรถภาพ
เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาในภายหลัง
ก่อนอื่น ในขั้นตอนพบผู้ป่วยและครอบครัวผู้ป่วย
พวกเราจะพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่ตัวผู้ป่วยสังเกตเห็นเอง
หรืออาการโรคที่ปรากฎขึ้น มีอะไรที่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
แล้วมาดูว่ามีผลกระทบอะไรกับชีวิตประจำวันไหม
แล้วพวกเราก็จะมาดูระดับการศึกษาและประวัติการทำงาน
แล้วก็รวบรวมข้อมูลว่าปกติผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไร
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
มีผลกระทบกับคนในครอบครัว
หรือหน้าที่การงานอย่างไรบ้าง
พวกเราก็จะสังเกตพฤติกรรมผู้ป่วยผ่านขั้นตอนการประเมินด้วย
ต่อมาพวกเราจะเลือกเครื่องมือประเมินที่เหมาะสมกับผู้ป่วย
แล้วใช้เกณฑ์มาตรฐานมาประเมินผู้ป่วยก่อน
หากเป็นผู้ป่วยเส้นเลือดในสมอง
ที่มีปัญหาในการพูด การใช้ภาษา
การใช้เครื่องมือที่ต้องใช้ความสามารถทางภาษามาก
ก็จะทำให้ผลการประเมินผิดพลาดได้
เคสแบบนี้พวกเราจะใช้วิธีประเมินที่ยืดหยุ่นมาแทนที่การประเมินทางภาษา
แล้วทำความเข้าใจว่าสมรรถภาพด้านอื่นๆของผู้ป่วยยังปกติอยู่ไหม
ระหว่างขั้นตอนนี้ พวกเราจะพูดคุยและสังเกตผู้ป่วย
แล้วดูการตอบรับของสมรรถภาพต่างๆ
สุดท้ายพวกเราจะรวมข้อมูลทั้งหมด รวมถึงผลการตรวจของผู้ป่วย
จากนั้นนำข้อมูลไปวิเคราะห์
และนำไปเปรียบเทียบกับผลการทดสอบปกติ
แล้วประเมินสรุปเป็นผลลัพธ์ออกมา
พวกเราจะนำผลลัพธ์ไปให้บุคคลอ้างอิง โดยปกติจะเป็นแพทย์
ให้แพทย์ทำความเข้าใจลักษณะทั่วไปของผู้ป่วยว่าเป็นอย่างไร
ดังนั้นในขั้นตอนประเมินทางประสาทจิตวิทยา
พวกเราจะเขียนบรรยายสมรรถภาพที่อาจจะผิดปกติ
อาจจะเขียนบรรยายการตอบรับของสมรรรถนะที่ผู้ป่วยยังมีอยู่
การตอบรับหรือสมรรถภาพที่แสดงออกเหล่านั้น
พวกเราจะดูผลการเปรียบเทียบกับกลุ่มคนที่คล้ายๆกับผู้ป่วย
ดูว่าในกลุ่มคนอายุเดียวกัน หรือคนอายุเดียวกันที่มีระดับการศึกษาพอๆกัน
ผู้ป่วยเทียบกับคนรุ่นเดียวกันแล้วพอๆกันหรือว่าแตกต่างกัน
หรือว่ามีสมรรถภาพอะไรที่ยังรักษาไว้ดีอยู่
อีกอย่างที่เมื่อกี้ดิฉันได้พูดถึง
ว่าต้องทำความเข้าใจระดับการศึกษาและประวัติการทำงานด้วย
เหตุผลหลักก็คืออยากเข้าใจลักษณะการทำงาน หรืออยากดูผู้ป่วยท่านนี้
ว่าเมื่ออยู่กับเพื่อนร่วมวัยเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม
จะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างไหม
พวกเราจำเป็นต้องพิจารณาในจุดนี้ด้วย
นอกจากนี้สิ่งที่พวกเราต้องพิจารณาอีกอย่างคือความเปลี่ยนแปลงของตัวผู้ป่วย
ก็คือความเปลี่ยนแปลงเฉพาะบุคคล
ในอดีตเขาอาจจะแสดงออกได้อย่างดีเยี่ยม
ถึงแม้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตอนนี้ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ
แต่ถ้าเปลี่ยนจากภาวะปกติไปมาก
พวกเราก็นับว่าเขาเกิดอาการผิดปกติขึ้น
เพราะฉะนั้นพวกเราจะเปรียบเทียบกับหลายชนชาติมาก
จากภาพนี้จะเห็นได้ว่า
ถ้าความสามารถส่วนใหญ่ของผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ปกติ
เมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกันหรือคนที่มีระดับการศึกษาเดียวกัน
ก็คือมีแค่ส่วนน้อยที่ความสามารถด้อยกว่าคนส่วนใหญ่
คนส่วนใหญ่ก็เหมือนกับทุกคนในที่นี้
ในทางการแพทย์มีวิธีการยืนยันก็คือ
ต้องเปรียบเทียบอย่างไรถึงจะรู้ว่าเราพอๆกับคนวัยเดียวกันหรือต่างกับคนวัยเดียวกัน
วิธีดูหลักๆก็คือดูขอบเขตมาตรการภายในกลุ่ม
พวกเรามีค่ามาตรฐานและค่าแตกต่างมาตรฐาน
พวกเราจะถือว่าผิดปกติเมื่อคะแนนประเมินได้ต่ำกว่ามาตรฐานสองขีด
แบบนั้นก็จะอยู่ในขอบเขตผิดปกติ
รูปแบบนี้จะใช้กับการเปรียบเทียบระหว่างบุคคล
ก็คือเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนร่วมวัย หรือคนที่มีระดับการศึกษาใกล้เคียงกัน
ก็จะใช้วิธีนี้มาเปรียบเทียบ
แต่พวกเราก็ต้องคำนึงด้วยว่า
ระหว่างที่พวกเราแก่ตัวลง
สมรรถภาพบางอย่างก็จะเสื่อมถอยตามไปด้วย
เป็นขั้นตอนเสื่อมสมรรถภาพอย่างต่อเนื่อง
จนพวกเรารู้สึกได้เองว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
อย่างเช่น ทุกคนดูที่ด้านซ้ายของสไลด์ค่ะ
เป็นสมรรถภาพความจำเพื่อใช้ปฎิบัติงาน
สมรรถภาพความจำเพื่อใช้ปฎิบัติงานจะเริ่มเสื่อมลงตั้งแต่อายุ20ปีขึ้นไป
ถ้าตอนนี้ฉันอายุ60ปี แล้วเทียบกับตัวเองตอนอายุ20ปี
สมรรถภาพก็ย่อมเสื่อมถอยไปบ้างแล้ว
พวกเรามาดูความจำเพื่อใช้ปฎิบัติงานนี้กันหน่อย
ระหว่างอายุ70ถึงอายุ80
สมรรถภาพจะเสื่อมถอยเร็วมาก
ดังนั้นถ้าผู้ป่วยมาบอกพวกเราว่าเขาจำอะไรไม่ได้
อาจจะเป็นเพราะว่า
สมรรถภาพของเขาเสื่อมลงตามอายุจนเห็นอาการได้ชัดแล้ว
นี่คือความหมายของการเปรียบเทียบระดับบุคคลกับตัวเอง
พวกเรามาดูความเร็วในการจัดการทางด้านขวากัน
ความเร็วในการจัดการจะเสื่อมลง
ตามอายุที่มากขึ้น
ปกติตอนที่พวกเราพบความเปลี่ยนแปลงเชิงสมรรถภาพ
ระดับความเสื่อมที่พบจะค่อนข้างชัดเจน
ประมาณลดต่ำเหลือ1จากZแต้ม
ก็จะรู้สึกถึงภาวะสมรรถภาพเสื่อมได้
สมมติว่าตอนนี้พวกเราอายุ50ปี เมื่อเทียบกับตัวเองตอนอายุ20ปี
ก็จะรู้สึกได้เองว่า ความเร็วในการจัดการสิ่งต่างๆลดลงมาก รู้สึกได้ว่าแตกต่างกับตอนเด็กมาก
เพราะฉะนั้นในส่วนนี้
เมื่อผู้ป่วยบ่นว่าความสามารถของเขาหรือความจำของเขาแย่ลง
พวกเราก็ต้องพิจารณาถึงเรื่องนี้ด้วย
ดังนั้นพวกเราขอแนะนำว่าข้อมูลบางอย่างก็จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับคนในวัยเดียวกันด้วย
สิ่งที่พวกเราเห็นได้จากจุดนี้คือ
ความเสื่อมสมรรถภาพแต่ละประเภทจะมีส่วนที่ไม่ค่อยเหมือนกันอยู่
อย่างเช่น สมรรถภาพในการคำนวณ หรือสมรรถภาพในการจัดการข้อมูล
จะถึงจุดสูงสุดในช่วงอายุ40,50ปี โดยเฉพาะสมรรถภาพทางภาษา
เพราะฉะนั้นจะมีสมรรถภาพบางอย่างที่สะสมเพิ่มเติม
เชี่ยวชาญมากขึ้นตามวัยที่มากขึ้น
แต่หลังจากพ้นจุดพีคแล้ว สมรรถภาพเหล่านั้นก็จะค่อยๆเสื่อมลงไป
เพียงแต่เวลาเสื่อมของสมรรถภาพแต่ละประเภทจะไม่เท่ากัน
เมื่อพวกเราเข้าใจแนวคิดนี้แล้ว
ค่อยไปประเมินสมรรถภาพผู้ป่วยโดยรวมอีกครั้ง
พวกเราก็จะเข้าใจชัดเจนว่า
ผู้ป่วยเสื่อมสมรรถภาพตามวัยที่เพิ่มขึ้น
หรือเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกันหรือเพื่อนร่วมวัยแล้ว
สมรรถภาพของผู้ป่วยเสื่อมมากกว่าเพื่อน
ตรงนี้เป็นจุดที่พวกเราต้องระวังมากๆ
ดิฉันขอเตือนทุกคนในที่นี้ว่า
เครื่องมือทุกอย่างมีขีดจำกัดการทดสอบทั้งนั้น
เครื่องมือประเมินบางชิ้นก็มีอายุการใช้งานของมัน ความสามารถประเมินของมันก็จะน้อยลง
หากปล่อยไปเครื่องมือจะประเมินได้แค่สมรรถภาพคร่าวๆ ไม่สามารถประเมินเชิงลึกได้
ดังนั้นพวกเราก็จะมีเครื่องมือสำหรับประสาทการรับรู้
ที่มีการพัฒนาแก้ไขอย่างต่อเนื่อง
เครื่องมือนี้สามารถช่วยให้พวกเราเข้าใจผู้สูงอายุได้ว่ายังเหลือสมรรถภาพอะไรอยู่บ้าง
เพราะฉะนั้นในขั้นตอนการประเมิน
พวกเราต้องทำผลการประเมินส่งต่อไปให้หลายคน
ผู้ป่วยหนึ่งท่าน
จะประเมินสมรรถภาพตัวเองได้ถูกต้องหรือไม่
บางทีก็อาจจะเหมือนที่ผู้ป่วยรู้สึก
สมรรถภาพได้เสื่อมลงจริงๆ
แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาคิดว่าสมรรถภาพตัวเองแย่ลง
แต่ที่จริงเมื่อเทียบกับเพื่อนวัยเดียวกัน
ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น หรือยังอยู่ในขอบเขตปกติอยู่
เป็นการเสื่อมสมรรถภาพปกติ
กรณีที่สองพวกเราจะเตือนผู้ป่วยว่า
ต้องประเมินสมรรถภาพตัวเองให้ถูกต้อง
นอกจากนี้พวกเราจะส่งผลการประเมินไปให้ผู้ดูแลด้วย
เพื่อให้ผู้ดูแลรู้ว่าผู้ป่วยท่านนี้มีอาการแบบนี้
จะต้องดูแลเพิ่มเติมตรงไหนในชีวิตประจำวัน
แล้วเราต้องใส่ใจด้านไหนบ้าง
มีวิธีช่วยเหลือการเสื่อมสมรรถภาพในชีวิตประจำวันอะไรบ้างไหม
ช่วยชดเชยเงินหรือให้ความช่วยเหลือ หรือทำกายภาพบำบัด
ให้กับภาวะเสื่อมสมรรถภาพ
เพื่อให้สมรรถภาพของผู้ป่วยคงอยู่ต่อไป
พวกเราก็จะนำผลประเมินนี้ส่งต่อให้บุคลากรทางการแพทย์
รวมถึงเจ้าหน้าที่ดูแลในองค์กร
หากมีความจำเป็น
พวกเราก็จะแจ้งพวกเขา
ว่าผู้ป่วยท่านนี้ตอนนี้มีอาการอะไรบ้าง
ถ้าพวกเขามีคำถามอะไรเกี่ยวกับการดูแล
ก็สามารถมาคุยกับพวกเราได้
กรณีที่เจอไม่บ่อยแต่ก็เจอก็คือองค์กรกฎหมาย
อย่างเรื่องผู้สูญเสียความสามารถ หรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายต่างๆ
โดยเฉพาะหลังเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ แล้วต้องชดเชยค่าเสียหาย
ผลประเมินประสาทจิตวิทยาของพวกเรา
จะช่วยให้องค์กรกฎหมายดำเนินการเรื่องพวกนี้ได้
เรื่องต่อไปที่จะคุยกันก็คือประเภทของการรับรู้
ในประเภทความผิดปกติความสามารถสมองDSM5ของพวกเรา
ได้พูดถึงผลกระทบด้านการรับรู้หลายข้อ
ข้อแรกคือความใส่ใจแบบซับซ้อน
ตอนที่พวกเราต้องทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมกัน
พวกเราก็สามารถทำเรื่องต่างๆให้เสร็จเรียบร้อยได้ในเวลาอันรวดเร็ว
หรือสามารถจัดอันดับได้ว่าเรื่องไหนต้องทำก่อน
เรื่องไหนต้องทำทีหลัง
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพความใส่ใจแบบซับซ้อน
เป็นสมรรถภาพที่มีความสำคัญมากในชีวิตของพวกเรา
สมรรถภาพนี้ได้รับผลกระทบง่ายมาก
อย่างเช่น ผลกระทบจากปัญหาการนอน การดื่มสุรา หรืออารมณ์ต่างๆ
ต่างสามารถส่งผลกระทบถึงสมรรถภาพนี้ได้
พวกเรามาดูเรื่องสมรรถภาพการเรียนและการจำ
ในหมวดหมู่ภาวะสมองเสื่อมของเรา
จะใส่ใจกับความเสื่อมของสมรรถภาพนี้เป็นพิเศษ
พวกเราจะสังเกตผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุเป็นพิเศษว่า
จำอะไรไม่ค่อยได้หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ลำบากไหม
แต่สิ่งที่ผู้ป่วยจัดการอย่างคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน
อาจจะไม่ได้ส่งผลอะไรมาก
ในส่วนนี้บางครั้งพวกเราจำเป็นต้อง
เปรียบเทียบการทดสอบประสาทจิตวิทยาการรับรู้อย่างละเอียด แล้วประเมินผลออกมา
นอกจากนี้ยังมีอีกส่วนที่เรียกว่าสมรรถภาพในการจัดการ
สมรรถภาพในการจัดการเกี่ยวข้องกับความสามารถอื่นๆที่ซับซ้อน
ที่ต้องทำในชีวิตประจำวัน เช่น ความสามารถในการตัดสินใจ
ตัดสินใจว่าต่อไปต้องทำอะไรต่อ
รวมถึงตัดสินใจว่าเรื่องไหนยังไม่ต้องทำชั่วคราว
หรือเรื่องไหนที่ต้องอดทนไปก่อน
การตัดสินใจข้างต้นเกี่ยวข้องกับสมรรถภาพในการจัดการทั้งหมด
อีกส่วนหนึ่งก็คือสมรรถภาพทางภาษา
โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบัน
พวกเราจำเป็นต้องใช้ภาษาในการสื่อสาร
ต้องสื่อสารออกไปได้และต้องเข้าใจว่าคนอื่นกำลังพูดอะไรอยู่
ดังนั้นสมรรถภาพนี้เป็นสมรรถภาพในการแสดงออกที่สำคัญมาก
ส่วนต่อไปคือความเร็วในการรับรู้และจัดการเรื่องราวต่างๆ
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของพวกเรา
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานก็ดี งานบ้านก็ดี
สุดท้ายคือสมรรถภาพการรับรู้ทางสังคม
สมรรถภาพการรับรู้ทางสังคมสามารถแบ่งได้สองชั้น
ชั้นหนึ่งคืออารมณ์ คือความรู้สึก อีกชั้นคือมนุษยสัมพันธ์
ในชั้นอารมณ์ของสมรรถภาพการรับรู้ทางสังคม
จะเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เข้ากับสถานการณ์
อย่างเช่น อยู่ในสถานการณ์ที่เศร้าโศก หรือสถานการณ์ที่หดหู่
แต่มีคนหัวเราะโพล่งขึ้นมา ทำให้คนอื่นรู้สึกแปลกใจ
เป็นพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะไม่รู้กาลเทศะเอาซะเลย
ส่วนนี้จะมีความเกี่ยวข้องสมรรถภาพการรับรู้ทางสังคม
มีส่วนเกี่ยวข้องกับมนุษยสัมพันธ์เป็นอย่างมาก
สมรรถภาพการรับรู้เหล่านี้ถ้ามีความเสียหายแค่เพียงชั้นเดียว
ก็จะส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันทันที
ถ้าเป็นผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม
สมรรถภาพโดยรวมทั้งหมดของเขาอาจจะถดถอยลง
ในช่วงแรกของเขา
อาจจะเป็นสมรรถภาพเล็กๆบางอย่างที่ถดถอยไป
เพราะตอนนี้พวกเรากำลังพูดถึงผู้สูงอายุที่มีโรคสมองเสื่อม
ดังนั้นดิฉันจะเน้นไปที่การประเมินความสามารถในการจำ
เป็นขั้นตอนการประเมินที่เน้นความสามารถในการจำและการเรียนรู้
ก่อนอื่นดิฉันขออธิบายกลไกการทำงานของความจำสักหน่อย
ทุกคนถึงจะเข้าใจว่าทำไมการประเมินนี้ถึงมีความสำคัญ
เพราะว่าก่อนที่จะจำ
สมรรถภาพที่พวกเราต้องการก็คือสมาธิ
พวกเราต้องสังเกตถึงข้อมูลหรือสิ่งของนั้นๆก่อน
ถึงจะสามารถจำข้อมูลหรือสิ่งของนั้นๆไว้ในสมองได้
ข้ั้นตอนเก็บความทรงจำนี้ก็ต้องมีกลไกดึงออกมาใช้
ถึงจะทำให้คนอื่นรู้ว่าพวกเราจำอะไรไปแล้วบ้าง
ดังนั้นในขั้นตอนประเมิน
ตอนที่พวกเราประเมินความสามารถในการจำ
พวกเราจะประเมินสมาธิของผู้ป่วยก่อน
เพราะส่วนนี้จะส่งผลกระทบต่อความจำมาก
ถ้าผู้สูงอายุทำเรื่องอะไรก็ตามในชีวิตประจำวัน
แล้วไม่มีสมาธิ หรือไม่ได้ตั้งใจทำเรื่องนั้นละก็
เขาก็จะจำไม่ได้
ดังนั้นสมาธิเป็นสิ่งที่เราต้องประเมินก่อนเป็นอันดับแรก
ต่อไปดิฉันจะพูดถึงเครื่องมือตรวจสอบ
พวกเราต้องสังเกตว่าสมาธิของผู้ป่วยอยู่กับปัจจุบันหรือไม่
ผู้ป่วยต้องมีสมาธิ ผลประเมินในอนาคตถึงจะมีความหมาย
ต่อไปดิฉันจะบรรยายเรื่องเครื่องมือตรวจสอบให้ทุกคนฟัง
เป็นเครื่องมือที่พวกเราจะใช้บ่อย
ในขั้นตอนการดูแลระยะยาว
ก่อนอื่นพวกเราต้องไปเข้าใจภาวะความจำและ
ความสามารถในชีวิตประจำวันในชุมชนหรือในตัวผู้ป่วยก่อน
ถ้าพวกเรารู้สึกว่าเขามีแนวโน้มเสื่อมสมรรถภาพ
ก็คือต้องการรักษาโรคสมองเสื่อมในภายหลังล่ะก็
พวกเราก็จะประเมินโรคอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ดังนั้นในด้านเครื่องมือตรวจสอบ
พวกเราจะแนะนำเครื่องมือสองสามชิ้นตามสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
นี่่คือเครื่องมือตรวจสอบที่ใช้บ่อยในไต้หวัน
อันแรกที่จะกล่าวถึงคือAD8
มีหลายประเทศบนโลกใช้AD8อยู่
เครื่องมือนี้แบ่งออกได้หลายรูปแบบ
หลักๆคือตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงทางสมรรถภาพในชีวิตประจำวันของผู้ป่วย
วิธีประเมินหลักก็คือเปรียบเทียบตัวเองกับตัวเอง
ว่ามีสมรรถภาพด้านไหนที่ถดถอยลงบ้าง
ถ้าพวกเราสงสัยว่าผู้ป่วยท่านนั้นน่าจะเป็นโรคสมองเสื่อม
พวกเราก็จะแนะนำให้เขาไปตรวจละเอียดเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล
ดังนั้นผู้ป่วยอาจจะเป็นแค่ผู้เสื่อมสมรรถภาพรับรู้ในระดับที่ไม่รุนแรง
หรืออาจจะเป็นผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมขั้นต้น
หลังจากนั้นพวกเราก็สามารถใช้เครื่องมืออื่นมาประเมินเชิงลึกต่อไป
นอกจากนี้ไต้หวันก็ได้พัฒนาBHTเครื่องมือตรวจสุขภาพสมอง
ต่อไปพวกเราจะอธิบายตารางวัดภาวะเปราะบาง
เพราะในสังคมมีผู้สูงอายุจำนวนมาก
กลุ่มผู้สูงอายุที่จะไปก่อนก็คือกลุ่มที่มีภาวะเปราะบาง
บางครั้งภาวะเปราะบางอาจจะเกิดขึ้นเพราะปัจจัยทางชีววิทยา โรคภัยไข้เจ็บ
หรือปัจจัยทางโภชนาการและปัจจัยอื่นๆ
ปัจจัยทั้งหมดข้างต้นอาจจะนำไปสู่ภาวะเปราะบาง โรคสมองเสื่อม โรคหัวใจหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ
ต่อไปดิฉันจะบรรยายKihon Checklistคร่าวๆให้ฟังค่ะ
ผู้ป่วยที่ใช้บ่อยไม่เพียงแค่ผู้ป่วยที่พวกเราดูแลอยู่หรือผู้ป่วยที่ต้องดูแลระยะยาวในภายหลัง
พวกเราใช้คะแนนตารางCDRนี้
ไปประกอบคำอธิบายอาการผู้ป่วยกับเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ดูแล
ซึ่งดิฉันจะอธิบายให้ฟังค่ะ
พวกเรามาดูAD8กันก่อนนะคะ
AD8เป็นเครื่องมือทดสอบผู้ป่วย
ที่น่าจะมีความเสี่ยงสูงในชุมชน
เครื่องมือจะช่วยทำให้เข้าใจสมรรถภาพการแก้ไขปัญหาของผู้ป่วยหรือของคนๆนั้น
ว่าเขาได้เสียความสนใจในชีวิตประจำวันไปหรือเปล่า
ในชีวิตประจำวันพวกเราอาจจะเห็น
ว่าเขามีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม
เช่น มีของบางอย่าง มีเครื่องมือบางอย่างที่เขาใช้บ่อย แต่ตอนนี้ไม่ใช้แล้ว
หรือเขาลืมเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ง่าย
ไม่สามารถจัดการเรื่องราวที่ซับซ้อนได้อีกแล้ว อย่างเช่น เรื่องการเงิน
หรืออาจจะโดนหลอกเงินไป
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวชี้ความเสี่ยงสูง
ถ้าหลังการประเมินพวกเราพบว่า
ในช่วงหลายปีนี้ผู้ป่วยมีความเปลี่ยนแปลง
แต้มสะสมเกินกว่าสองแต้มขึ้นไป
พวกเราก็จะกังวลว่าเขาจะเป็นโรคสมองเสื่อมขั้นต้น
และแนะนำให้เขาไปประเมินอย่างเป็นทางการที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
อันต่อไปที่จะแนะนำให้ทุกคนฟังก็คือการตรวจสอบสมองที่ไต้หวันกำลังผลักดันอยู่
และเครื่องมือตรวจสอบDSSที่ประเทศไทยใช้อยู่
ในส่วนของการตรวจสอบสุขภาพสมอง
แพทย์ที่รักษาหรือเจ้าหน้าดูแลจะเป็นผู้รวบรวมข้อมูล เพื่อเอามาใช้ตรวจสอบ
ที่ประเทศไทยก็ได้พัฒนาเครื่องมือที่คล้ายๆกัน
ใช้กับPrimary careเหมือนกัน
ต่อไปมาดูส่วนการตรวจสุขภาพสมองกัน
การตรวจสุขภาพสมองจะเริ่มจากการประเมินปัจจัยความเสี่ยงก่อน
อย่างเช่น ความจำของเขาถดถอยลงหรือไม่
ผ่านการสังเกตของคนในครอบครัวหรือคนรอบตัว
ถ้าผู้ป่วยจำเป็นต้องให้คนช่วยเหลือหรือช่วยดูแลเรื่องการเงินแล้วล่ะก็
พวกเราก็จะแนะนำให้ไปตรวจประเมินอย่างละเอียดอีกครั้ง
นอกจากนี้ ถ้าผู้ป่วยมีปัจจัยความเสี่ยงด้านอายุหรือปัจจัยความเสี่ยงอื่นๆ
เช่น เคยมีประวัติโรคหลอดเลือดในสมอง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
คะแนนเกิน8แต้มขึ้นไปแล้วล่ะก็
พวกเราก็จะแนะนำให้ทำประเมินตรวจสอบการรับรู้ทางด้านขวามือ
ส่วนที่ทดสอบคือการกำหนดทิศทาง ความจำระยะสั้น และความจำนึกทวนจำ
ถ้าผลการประเมินได้ต่ำกว่า10แต้ม
พวกเราก็จะกังวลว่าสมรรถภาพการรับรู้ของผู้ป่วยได้ถดถอยลงแล้ว
และแนะนำให้เขาไปประเมินอย่างเป็นทางการที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
นอกจากนี้ ที่ประเทศไทย
ได้พัฒนาเครื่องมือตรวจสอบโรคสมองเสื่อมที่ทั้งสวยและมีขนาดเล็กออกมา
เครื่องมือจะตรวจสอบการเรียนรู้คำศัพท์ การกำหนดทิศทาง และความลื่นไหล
ในการนึกชื่อผลไม้ภายในหนึ่งนาที
ความอ่อนไหวและความพิเศษของเครื่องมือนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วทั้งสามเครื่องมือก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
จุดเด่นของทั้งสามเครื่องมือคือใช้เวลาสั้นมาก
มีระดับความอ่อนไหวและความพิเศษที่แตกต่างกันไป ซึ่งไม่เลวเลยทีเดียว
ตอนที่พวกเราไปใช้เครื่องมือในชุมชน
ก็สามารถประเมินได้ว่ากลุ่มคนที่ได้รับการตรวจสอบ
เหมาะกับเครื่องมืออะไร
ก็สามารถเอามาใช้ได้หมด
แล้วก็ต้องระวังว่าทุกเครื่องมือมีขีดจำกัดของมัน
อย่างเช่น AD8 ต้องให้คนที่เคยผ่านการฝึกมาใช้
ถึงจะสามารถประเมินได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
ส่วนBHTถ้าใช้กับการประเมินโรคสมองเสื่อมขั้นต้น หรือประเมินบุคคลธรรมดา
การแบ่งระดับของมันก็ไม่ได้ชัดเจนมากขนาดนั้น
เครื่องมือตรวจสอบอีกอันคือ
MMSEที่โรงพยาบาลใช้ประเมินผู้ป่วยอย่างเป็นทางการ
สิ่งที่MMSEประเมินก็คือ
ความสามารถการกำหนดเวลา ความสามารถการกำหนดทิศทาง การมีสมาธิจดจ่อ ความสามารถในการคำนวนและความทรงจำระยะสั้น
รวมถึงตรวจสอบความสามารถทางภาษาแบบง่ายๆด้วย
เครื่องมือตัวนี้เป็นเครื่องมือรุ่นเก่าหน่อย
จนปี2001 บริษัทตรวจสอบเครื่องมือPARถึงจะจดสิทธิบัตรเครื่องมือนี้
ดังนั้นตอนนี้ถ้าจะซื้อ หรือจะใช้ก็ต้องซื้อลิขสิทธิ์ก่อน
ไม่เหมือนแต่ก่อนที่สามารถแปลเป็นรูปแบบของประเทศตัวเองแล้วใช้งานได้เลย
ดังนั้นเวลาใช้ต้องระวังในจุดนี้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือตรวจสอบพิเศษสำหรับโรคสมองเสื่อมขั้นต้น เรียกว่าMoCA
เครื่องมือนี้จะประเมินถึงสมรรถภาพการตรวจสอบ
รวมถึงสมรรถภาพในการจัดการ การตั้งชื่อ สมรรถภาพทางภาษา
แล้วยังประเมินสมรรถภาพในการจำ การมีสมาธิจดจ่อ ภาษา การคิดเชิงนามธรรม ความทรงจำนึกทวนจำและการกำหนดทิศทาง
เครื่องมือนี้จะใช้ประเมินสมรรถภาพการรับรู้ซึ่งเสื่อมลงในระยะขั้นต้นหรือโรคสมองเสื่อมขั้นต้น
สองโรคนี้มีอาการไม่เหมือนกัน
สมรรถภาพการรับรู้เสื่อมขั้นต้นก็คือ
มีสมรรถภาพรับรู้บางอย่างในชีวิตประจำวันถดถอยไป
แต่เพียงได้รับการซ่อมแซมชดเชยเล็กน้อย
ก็จะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่นต่อไป
แต่ถ้าเป็นโรคสมองเสื่อมขั้นต้นหรือขั้นแรก
อาการอาจจะกระทบถึงชีวิตประจำวันแล้ว
ดังนั้นเครื่องมือMoCAนี้
เหมาะกับการประเมินว่าเป็นMCIหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมืออะไร
พวกเราก็ต้องไปทำความเข้าใจก่อนว่า
ผู้ป่วยมีอาการสมองเสื่อมระดับไหนแล้ว
ต่อไปดิฉันจะแนะนำCDR
เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือRating Scaleที่หลายประเทศใช้กัน
เป็นInterview Saleแบบกึ่งโครงสร้าง
สามารถประเมินเสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง
เครื่องมือนี้จะทำให้พวกเราเข้าใจสมรรถภาพการรับรู้ของผู้ป่วยในหลากหลายด้าน
ได้แก่ ความทรงจำ การกำหนดทิศทาง ความสามารถในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหา
แล้วยังประเมินปัญหาในระดับชุมชนและในชีวิตประจำวัน
รวมถึงด้านการดูแลส่วนบุคคลด้วย
สิ่งที่พิเศษในRating Scaleก็คือ
เป็นการเปรียบเทียบสมรรถภาพระหว่างตัวเองกับตัวเอง
ไม่ใช่การเปรียบเทียบระหว่างตัวเองกับคนอื่น
จุดนี้เป็นจุดที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
เครื่องมือนี้ให้ความสำคัญกับสมรรถภาพในชีวิตประจำวันอย่างมาก
และยังให้ความสำคัญกับสภาวะอารมณ์และการปรับตัวในชุมชนด้วย
เพราะฉะนั้นเครื่องมือนี้สามารถใช้เขียนคำอธิบายผู้ป่วยได้
พวกเรามาดูRating Scaleของเครื่องมือนี้กัน
ว่าแบ่งเป็นระดับชั้นอะไรบ้าง
นอกจากระดับชั้นการรับรู้แล้ว
เครื่องมือนี้ยังใส่คำอธิบายในการแบ่งระดับด้วย
ถ้าผู้ป่วยหรือคนคนหนึ่ง
มีปัญหาด้านการคิดพิจารณาหรือความจำ
แล้วมีผลกระทบต่อการลำดับและเชื่อมเวลาในชีวิตประจำวัน
หรือความสามารถในการแก้ปัญหาแย่ หรือแม้กระทั่งเรื่องบางอย่างในชีวิตประจำวัน
อย่างเช่นออกไปซื้อของข้างนอก ฝากเงินถอนเงิน
หรือการจัดการสิ่งต่างๆภายในบ้าน ผู้ป่วยทำได้ไม่ค่อยดี
พวกเราก็จะประเมินเจาะลึกไปที่สมรรถภาพส่วนที่ถดถอยของเขา
Rating Scaleอันนี้
ทำให้แพทย์เจ้าของไข้และผู้พยาบาลหรือคนจากองค์กรดูแล
สามารถเข้าใจขอบเขตระดับสมรรถภาพของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วว่าอยู่ระดับไหน
เป็นการประเมินกว้างๆแบบหนึ่ง
การประเมินนี้มีเว็บไซต์ด้วย
เป็นเว็บRating Scale CenterของCDRที่เดิมทีออกแบบพัฒนาอยู่
ทางบริษัทพัฒนาเครื่องมือช่วยทำเว็บไซต์รวมคะแนนให้
ทำให้พวกเราสามารถเอาแต้มที่ได้จากการประเมินกรอกเข้าไป
แล้วเว็บไซต์จะบอกพวกเราว่าแต้มCDRโดยรวมได้เท่าไร
ทุกคนสามารถเข้าไปใช้ได้นะคะ
ต่อไปดิฉันจะแนะนำปัญหาทางอารมณ์
ที่เกิดขึ้นได้บ่อยในผู้สูงอายุที่มีปัญหาโรคสมองเสื่อม
พวกเราก็จะใช้้เกณฑ์วัดซึมเศร้าของGDS
ตอนนี้ที่พวกเราเห็นคือเวอร์ชั่นคำถาม15ข้อ
เกณฑ์วัดสามารถช่วยพวกเราเข้าใจภาวะอารมณ์ของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว
ว่าอารมณ์หดหู่หรือว่าซึมเศร้า หรือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ถ้าทุกคนรู้สึกว่าใช้รูปแบบคำถาม15ข้อแล้วราบรื่นดี
ก็สามารถทำรูปแบบคำถาม30ข้อได้
ถ้าในระดับชุมชน ขอแนะนำให้ใช้แบบ15คำถามก็โอเคแล้ว
นอกจากนี้ขอแนะนำตารางวัดภาวะเปราะบางของพวกเรา
ทำไมต้องพูดถึงตารางวัดภาวะเปราะบาง
เพราะตอนนี้พวกเรามีผู้สูงอายุจำนวนมาก
ระหว่างที่พวกเขาสูงวัยมากขึ้นเรื่อยๆ
อาจจะเกิดภาวะกำลังกายถดถอย หรือมีโรคติดตัวเยอะเกินไป
ก็อาจจะนำไปสู่ปัญหาสมองเสื่อมได้
ดังนั้นเราจึงแนะนำตารางวัดภาวะเปราะบางให้ทุกคนฟังค่ะ
ในระดับชุมชนถ้าทำได้ละก็
ให้ไปสำรวจก่อนแล้วค่อยไปให้ความช่วยเหลือ
จะช่วยลดแนวโน้มการเป็นโรคสมองเสื่อมของผู้สูงอายุในชุมชนได้
ถ้าผู้สูงอายุท่านนี้เดิมทีก็เฉื่อยชาอยู่แล้ว
หรือยืนเองไม่ได้ถ้าไม่มีตัวช่วย หรือขึ้นบันไดยาก
แม้แต่ออกไปเดินยังไม่ค่อยไหว
หรือมีโรคติดตัวมากกว่า5โรคขึ้นไป
หรือมีภาวะอ่อนแรงในระยะเวลาสั้นๆ น้ำหนักตัวลด
ถ้าได้3แต้มจาก5รายการนี้
พวกเราก็จะกังวลว่าผู้สูงอายุท่านนั้นอาจจะเข้าสู่ภาวะเปราะบาง
หวังว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือในเร็ววัน
แล้วรักษาสภาพร่างกายเขาให้ดีขึ้น
และไม่ส่งผลกระทบต่อสมรรถภาพของสมอง
อีกตารางวัดหนึ่งที่ต้องแนะนำให้ทุกคนฟัง
ก็คือตารางวัดKihonที่เกี่ยวกับภาวะเปราะบาง
ขอบเขตประเมินสมบูรณ์และรอบด้าน
ประเมินทั้งสมรรถภาพในชีวิตประจำวัน
ประเมินสมรรถภาพเชิงกายภาพ
ประเมินโภชนาการ ประเมินกิจกรรมในชุมชน
ประเมินการกินอาหาร ประเมินภาวะการรับรู้และประเมินด้านอารมณ์ด้วย
ตารางวัดนี้สามารถช่วยให้พวกเราเข้าใจปัญหาในเชิงระดับชั้นได้
ทำให้พวกเราสามารถให้การรักษาได้อย่างรวดเร็ว
ช่วยป้องกันผู้สูงอายุเข้าสู่ภาวะเปราะบางและโรคสมองเสื่อมได้
วันนี้ดิฉันขอจบการบรรยายแต่เพียงเท่านี้
ขอบคุณค่ะ